วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ความหมายของสารคดี

         สารคดี คือ งานเขียนอย่างสร้างสรรค์ ที่มีลักษณะคล้ายบทความ แต่ไม่ใช่บทความ นักวิชาการได้อธิบายความหมายของสารคดีไว้ต่างๆกันดังนี้

พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546, หน้า 1182) ได้ให้ความหมายของสารคดีไว้ว่า สารคดี [สาระ-] น. เรื่องที่เรียบเรียงขึ้นจากความจริงไม่ใช่จินตนาการ เช่น สารคดีท่องเที่ยว สารคดีชีวประวัติปานฉาย ฐานธรรม (ม.ป.ป., หน้า 51) อธิบายว่า สารคดี คือ การเขียนที่เน้นข้อมูลที่เป็นความจริงมากที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ความรู้ และความจริง เพื่อให้เกิดคุณค่าทางปัญญาฉลวย สุรสิทธิ์ (2522, หน้า 259) อธิบายว่า

คำว่า สารคดี ถ้าแยกคำแล้วแปล ก็จะได้ความว่า สาร หมายถึง สำคัญ คดี หมายถึง เรื่อง ถ้าแปลรวมกันก็หมายถึง เรื่องใดที่มีสาระสำคัญ และถ้าเทียบคำนี้ทับคำภาษาอังกฤษจะเท่ากับคำ feature ซึ่งมีรากศัพท์ว่า fact ซึ่งแปลว่า ความจริง เพราะฉะนั้นการเขียนสารคดีจึงหมายถึง การเขียนเรื่องใดๆที่เป็นความจริง มีสาระสำคัญน่ารู้ที่แฝงด้วยความจริง เนื้อหามีสาระสำคัญที่เชื่อถือได้ 

เสาวนีย์ สิกขาบัณฑิต (2533, หน้า 61) กล่าวถึงความหมายของสารคดีว่า สารคดีจะมีลักษณะเนื้อหาสาระเชิงวิชาการที่ใช้รูปแบบไม่เป็นทางการ มีสาระความเพลิดเพลิน และความรู้ ใช้สำนวนภาษาทันสมัย เร้าความสนใจ อยากติดตาม และมีอิสระในการใช้ภาษา

ถวัลย์ มาศจรัส (2545, หน้า 244) อธิบายว่า สารคดี (Non-fiction) คือ งานเขียนที่ยึดถือเรื่องราวจากความเป็นจริงนำมาเขียน เพื่อมุ่งแสดงความรู้ทรรศนะความคิดเห็นเป็นหลัก ด้วยการจัดระเบียบความคิดในการนำเสนอ ผสมผสานในการถ่ายทอดต่อการสนใจใฝ่รู้ของผู้อ่าน เพื่อให้เกิดคุณค่าทางปัญญา

วนิดา บำรุงไทย (2545, หน้า 9) ได้ให้ความหมายของสารคดีไว้ว่า สารคดี คือ เรื่องสร้างสรรค์ (creative) บางครั้งมีความเป็นอัตวิสัย (subjective) เป็นข้อเขียนที่มุ่งให้ความบันเทิง และข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน สถานการณ์หรือแง่มุมชีวิตที่น่าสนใจ

สุจิรา ช้างอยู่, วิลาวัลย์ ม่วงเอี่ยม, สุจารี หอมนาน (2546, หน้า 7) กล่าวว่า สารคดีเป็นงานเขียนร้อยแก้วที่มีเนื้อหาหลากหลายโดยผ่านการกลั่นกรองข้อเท็จจริง แล้วนำมาเสนอผ่านภาษาที่มีสีสันชวนอ่าน มีเนื้อหาในการนำเสนอข้อเท็จจริงในรูปแบบการอธิบาย การวิจารณ์ หรืออาจมีเรื่องราวเกี่ยวกับความบันเทิงสอดแทรก

ชลอ รอดลอย (2551, หน้า 3) กล่าวถึงความหมายของสารคดีไว้ว่า สารคดี คือ งานประพันธ์ร้อยแก้วที่ผู้เขียนมุ่งที่จะเสนอความรู้และความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆเป็นหลัก เพื่อให้ผู้อ่านได้รับทั้งความรู้และความเพลิดเพลินไปพร้อมกันด้วย

ศรี คณปติ (2551, ย่อหน้า 1) ให้ความเห็นว่า สารคดี หมายถึง งานเขียนที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อเท็จจริง เสนอเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่มีตัวตนจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง มีเจตนาเบื้องต้นในการให้สาระ ความรู้ ความคิด ทั้งนี้ต้องมีกลวิธีการเขียนให้เกิดความเพลิดเพลินด้วย

เกศินี จุฑาวิจิตร (2552, หน้า 259) กล่าวถึงความหมายของสารคดีไว้ว่า สารคดี คือความเรียงที่มุ่งนำเสนอข่าวสารข้อมูลความรู้ และข้อเท็จจริงพร้อมกับให้ความเพลิดเพลิน และความพึงพอใจ ผ่านการใช้ภาษาที่พิถีพิถัน เร้าใจ คมคาย และงดงาม

          จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า สารคดี คือ งานเขียนสร้างสรรค์ประเภทร้อยแก้ว ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง มุ่งเสนอความรู้ที่น่าสนใจ และความเพลิดเพลินในการอ่าน โดยมีการใช้ภาษาที่ทันสมัย คมคาย งดงาม เร้าความสนใจ อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคล หรือสถานการณ์


อ้างอิง : http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/introduction_to_documentary/01.html

ลักษณะของสารคดี

          สารคดีเป็นงานเขียนที่ผู้เขียนมุ่งให้ผู้อ่านได้รับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก จึงเป็นข้อมูล เรื่องราวที่เป็นเรื่องจริง มีรูปแบบการนำเสนอที่ไม่เจาะลึกด้านเนื้อหา และมีลีลาการเขียนที่สร้างความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน ซึ่งมีความแตกต่างจากงานเขียนประเภทอื่นๆลักษณะของสารคดี มีดังนี้
1. ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ในการเขียนสารคดี ผู้เขียนมีอิสระที่จะใช้ความสามารถในการผูกเรื่อง ลำดับความตามที่ต้องการ
2. ความเป็นอัตวิสัย (subjectivity) ผู้เขียนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิดของตนให้ผู้อื่นได้ทราบ โดยเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสม
3. ความมีสาระ (informativeness) สารคดีเป็นงานเขียนที่นำเสนอข้อมูล เรื่องราวที่เป็นเรื่องจริง ข้อเท็จจริง ซึ่งความจริงบางเรื่องไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเขียนเป็นข่าว แต่สามารถนำมาเขียนเป็นสารคดี ที่ให้สาระและแง่คิดได้
4. ความบันเทิง (entertainment) ผู้เขียนมุ่งให้ความรู้ที่น่าสนใจ และความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน ซึ่งเป็นการผ่อนคลายความเครียดจากการอ่านข่าว
5. ความไม่ล้าสมัย (unperishable) สารคดีนั้นเป็นงานเขียนที่ไม่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้านเวลา ซึ่งแตกต่างจากข่าวที่ต้องสด รวดเร็วต่อเหตุการณ์

          จะเห็นได้ว่าสารคดีนั้นเป็นงานเขียนที่มีลักษณะเฉพาะตัว ที่แตกต่างจากงานเขียนประเภทอื่น เพราะมีการนำเสนอข้อมูล เรื่องราวที่เป็นข้อเท็จจริง มีรูปแบบการนำเสนอที่ไม่เจาะลึกด้านเนื้อหา จึงทำให้สารคดีนั้นเป็นงานเขียนที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

อ้างอิง : http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/introduction_to_documentary/02.html

ประเภทของสารคดี

สารคดีสามารถจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. สารคดีประวัติบุคคล
สารคดีบุคคลแบ่งได้ 2 ประเภทได้แก่
     - สารคดีอัตชีวประวัติ หมายถึง สารคดีที่เจ้าของประวัติเขียนเล่าประวัติและเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตนเอง
     - สารคดีชีวประวัติ หมายถึง สารคดีที่มีผู้อื่นกล่าวถึง อาจเป็นชีวประวัติรวมหลายๆชีวิตในเล่มเดียว หรืออาจเป็นชีวประวัติของบุคคลเดียวก็ได้
2. สารคดีท่องเที่ยว 
สารคดีท่องเที่ยว เป็นสารคดีที่เล่าเรื่องราวการเดินทางไปในสถานที่ต่างๆมุ่งให้ความรู้แก่ผู้อ่านในด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ความเป็นอยู่ของผู้คน รวมทั้งรายละเอียดปลีกย่อยที่เป็นคู่มือการเดินทาง เช่น เส้นทางการเดินทาง ที่พัก อาหาร ฯลฯ นอกจากนั้นผู้เขียนมักให้ข้อสังเกต และแสดงทัศนะต่อสิ่งที่พบเห็นไว้ด้วย 
3. สารคดีแนะนำ
สารคดีแนะนำจะมีเนื้อหาหลากหลาย ครอบคลุมการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทุกแง่มุม ตั้งแต่เรื่องปัจจัยสี่ การประกอบอาชีพ จนถึงการพักผ่อนหย่อนใจ


อ้างอิง : http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/introduction_to_documentary/03.html

องค์ประกอบของสารคดี

การเขียนสารคดีนั้นประกอบไปด้วยส่วนต่างๆดังนี้

        1. ส่วนนำเรื่อง ในการเขียนส่วนนำเรื่อง หรือความนำนั้นสามารถเขียนได้หลายแบบ (มาลี บุญศิริพันธิ์, 2535, หน้า 42; วนิดา บำรุงไทย, 2545, หน้า 44) ดังนี้
             ความนำแบบสรุปประเด็น คือ การสรุปสาระสำคัญทั้งหมด โดยมีหลักการทั่วไปมักประกอบด้วยคำหลัก คือ ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ทำไม และอย่างไร
             ความนำประเภทพรรณนา หรืออธิบาย คือ การพรรณนาถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้มองเห็นคุณลักษณะของสิ่งนั้นๆให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจเป็นสถานที่ บุคคล หรือวัสดุสิ่งของที่มีความเกี่ยวข้องต่อประเด็นเรื่องที่เขียน
             ความนำแบบกระทบความรู้สึก คือ การใช้โวหาร เนื้อความที่เร้าอารมณ์ หรือภาษาที่รุนแรงกระทบความรู้สึกของผู้อ่านทันที ทำให้ผู้อ่านสามารถสร้างความรู้สึกบางอย่างต่อเหตุการณ์นั้นๆ
             ความนำที่เป็นสุภาษิต คำกลอน หรือบทกวี คือ การยกเอาคำกลอน สุภาษิต หรือบทกวีที่มีเนื้อความเข้ากันมาขึ้นต้น แทนการอธิบายหรือพรรณนา
             ความนำประเภทคำถาม คือ การตั้งคำถามหรือประเด็นปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ควรมีลักษณะกระชับ และประเด็นที่เด่นชัด
              ความนำด้วยเรื่องเล่า หรือเหตุการณ์ คือ การนำเรื่องด้วยเรื่องเล่าสั้นๆอาจเป็นเกร็ดที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง หรือการนำเหตุการณ์ เรื่องราวมาเกริ่นนำ
              ความนำประเภทบรรยาย คือ การให้รายละเอียดของเหตุการณ์ โดยการบรรยายแต่ละฉากอย่างละเอียดตามด้วยการแสดงความต่อเนื่องของเหตุการณ์
              ความนำที่เป็นข่าว คือ การใช้ข่าว หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นการนำเรื่อง
             ความนำแบบคุยกับผู้อ่านโดยตรง คือ การที่ผู้เขียนใช้สรรพนามแทนตัวเองกับผู้อ่าน นิยมใช้คำว่า “ผม” “คุณ
             ความนำประเภทหยอกล้อ คือ ความนำที่เขียนโดยไม่เจตนาให้ผู้อ่านทราบเรื่องราวในทันที มีลักษณะผ่อนคลาย ยั่วเย้าใครบางคน ใช้ภาษาเบาๆไม่เคร่งเครียด
             ความนำที่ตรงกันข้าม คือ การนำด้วยเหตุการณ์ บุคคล หรือสถานที่ที่ตรงกันข้ามกับสาระ หรือประเด็นของเรื่อง
             ความนำที่อ้างถึงภูมิหลัง คือ การนำเรื่องด้วยความเดิมหรือประวัติความเป็นมาของเรื่อง
        2. เนื้อเรื่อง คือ การลำดับเหตุการณ์ เรื่องราวต่างๆในลักษณะ (วนิดา บำรุงไทย, 2545, หน้า 106; สุภิตร อนุศาสน์ทัศนีย์ กระต่ายอินทร์และมานิตา ศรีสาคร, 2552, หน้า 5) ดังนี้
             เสนอตามลำดับเวลา คือ ลำดับไปตามอายุ หรือการเผชิญเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆของเจ้าของประวัติ
             เสนอตามการลำดับเหตุการณ์หรือประสบการณ์ คือ การจัดเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่สำคัญ หรือน่าสนใจมาขึ้นต้นก่อน หรืออาจจัดเป็นกลุ่มประสบการณ์ เหมาะที่จะเขียนเล่าเรื่องหรืออธิบายเรื่องประเภทให้ความรู้
             เสนอเนื้อหาโดยโครงสร้างประเด็น การลำดับเนื้อหาแบบนี้มักใช้กับเนื้อเรื่องที่มีการแสดงเหตุผลหรือเสนอความคิดเห็น อาจเรียกอีกอย่างว่าเป็นการเสนอโดยจัดประเด็นหรือกำหนดกลุ่มเรื่อง กลุ่มความคิด
             เสนอตามการจัดลำดับสถานที่ คือการจัดระเบียบความคิดโดยลำดับตามสถานที่ ผู้เขียนจะเขียนลำดับจากตำแหน่งหนึ่งไปสู่ตำแหน่งอื่นๆ
             เสนอตามการจัดลำดับความสัมพันธ์ คือ การจัดลำดับความคิดตามขั้นตอนที่เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกัน
        3. ส่วนท้าย ส่วนท้ายหรือความจบนั้นผู้เขียนสามารถเลือกเขียนได้หลายแบบ (มาลี บุญศิริพันธิ์, 2535, หน้า 42; วนิดา บำรุงไทย, 2545, หน้า 44) ดังนี้
             จบแบบสรุปความ คือ การจบด้วยการสรุปประเด็นสำคัญอีกครั้งโดยโยงถึงความนำในตอนต้นด้วย
             จบแบบคาดไม่ถึง คือ การจบอย่างพลิกความคาดหมาย มักนิยมใช้ในสารคดีเชิงข่าว หรือสารคดีประเภทอารมณ์
             จบแบบคลี่คลายประเด็น คือการจบโดยทำให้ประเด็นนั้นกระจ่างชัดเจน ผู้อ่านไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย
             จบแบบให้คิดต่อ คือ การจบแบบเน้นประเด็นสำคัญของเรื่อง โดยทิ้งปริศนาให้ผู้อ่านขบคิด
สารคดีมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
-ส่วนนำเรื่อง
-เนื้อหา
-ส่วนท้าย

             ในการเขียนผู้เขียนสามารถเลือกใช้วิธีการนำเรื่อง การลำดับเนื้อเรื่อง และการจบเรื่องได้หลายแบบตามความเหมาะสม

อ้างอิง :  http://www.baanjomyut.com/library_2/extension-2/introduction_to_documentary/04.html

ลักษณะของสำนวนการเขียนที่ดีสำหรับการเขียนสารคดี

               1.  ความหมายชัดเจน  เป็นลักษณะสำคัญที่สุด  เพราะถ้าเขียนไม่ชัดเจน  ผู้อ่านจะตีความหมายผิดไปจากจุดประสงค์ได้ ก่อนที่จะลงมือเขียนต้องคิดแล้วคิดอีกจนกว่าความคิดนั้นแจ่มแจ้งอยู่ในสมอง แล้วจึงเขียนด้วยถ้อยคำสั้นๆ  ใช้ประโยครัดกุม  แต่ละย่อหน้าไม่ควรเขียนยาวนัก  ไม่ควรเขียนทุกๆ  อย่างลงไปในย่อหน้าเดียว สิ่งสำคัญที่จะทำให้งานเขียนสารคดีเกิดความชัดเจนคือ  ควรรู้จักแบ่งย่อหน้า  ไม่ควรเขียนเนื้อหามากเกินไป  และไม่ควรเขียนยาวเกินไป  เพื่อให้ผู้อ่านได้มีเวลาหยุดพักสายตา  และที่สำคัญ  ย่อหน้าหนึ่งๆ  ควรมีใจความสำคัญเพียงอย่างเดียว
                วิธีทดสอบความชัดเจนคือ  ผู้เขียนควรจะสมมุติตนเองเป็นผู้อ่านไปด้วยว่าสามารถเข้าใจมากน้อยเพียงไร  หรือลองนำไปอ่านให้ผู้อื่นฟัง
                2.  ความกะทัดรัด  การเขียนสารคดีจะต้องตัดข้อความที่ฟุ้มเฟือยออกไป  ควรเขียนให้สั้นกะทัดรัดและได้ใจความสมบูรณ์
                3.  ความสุภาพ  การเขียนสารคดีนั้น จะต้องระมัดระวังให้มากในเรื่องความสุภาพในการใช้ถ้อยคำ  ผู้ที่เริ่มเขียนหนังสือไม่ควรจะเอาอย่างนักเขียนที่มีชื่อเสียงแล้วในแง่ที่ตามใจ ตนเองโดยไม่คำนึงถึงผู้อ่าน เพราะการเขียนสารคดี  จะใช้ภาษาเป็นระดับแบบแผนเป็นส่วนใหญ่

อ้างอิง : https://www.gotoknow.org/posts/331335

จุดมุ่งหมายในการเขียนสารคดี

                จุดมุ่งหมายที่ผู้เขียนควรพิจารณามีอยู่ 4 ประการคือ
                1.ให้ความรู้  ข้อเท็จจริง  และเนื้อหาสาระแก่ผู้อ่าน  ผู้เขียนจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียนอย่างละเอียดและลึกซึ้ง
                2.ให้คำแนะนำแก่ผู้อ่านในการนำไปปฏิบัติได้จริง  ผู้เขียนสารคดีจะต้องมีความรู้อย่างละเอียด  และมีความชำนาญในการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องที่เขียนด้วย  เพื่อจะได้คำแนะนำแก่ผู้อ่านโดยถูกวิธี  และถูกขั้นตอน
                3.ให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่าน  ผู้เขียนจะต้องทำให้ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลินด้วย  วิธีจะให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก  ผู้เขียนสารคดีจะต้องมีความสามารถเฉพาะตัวด้วยประการต่างๆ  เช่น  การใช้สำนวนภาษาที่ชวนให้ผู้อ่านมีความสนุกสนาน  หรือใช้สำนวนภาษาที่มำให้ผู้อ่านมีความคิดเห็นคล้อยตามอยู่ตลอดเวลา  และได้รับความรู้โดยไม่รู้ตัว
                4.ให้ความจรรโลงใจแก่ผู้อ่าน  ผู้เขียนสารคดีจะต้องพิจารราถึงเรื่องที่จะเขียนว่าเป็นเรื่องที่ดีสร้างสรรค์เพียงใด  หรือจะส่งผลกระทบต่อสังคมในแง่ใดบ้าง

                สรุปได้ว่า  จุดมุ่งหมายที่สำคัญของการเขียนสารคดี คือ ให้ความรู้ข้อเท็จจริง และเนื้อหาสาระแก่ผู้อ่าน  นอกจากนี้ยังให้คำแนะนำในการปฏิบัติที่เป็นประโยชน์  ให้ความเพลิดเพลิน  และให้ความจรรโลงใจ

อ้างอิง : https://www.gotoknow.org/posts/331335

จุดประสงค์ในการศึกษาวิชาการเขียนสารคดี

1.    มีความรู้  ความเข้าใจ  เกี่ยวกับความหมายของสารคดี  ประวัติและวิวัฒนาการของสารคดีไทย
2.    ทราบถึงจุดมุ่งหมายของการเขียนสารคดี
3.    มีความรู้  ความเข้าใจ  สำนวนภาษา  โวหาร  ที่ใช้ในการเขียนสารคดีและนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
4.    มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักและวิธีการเขียนสารคดีประเภทต่างๆ และสามารถนำไปเขียนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
5.    สามารถนำความรู้ไปเขียนสารคดีชีวประวัติและอัตชีวประวัติได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
6.    สามารถนำความรู้ไปเขียนสารคดีประเภทความเรียงได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
7.    สามารถนำความรู้ไปเขียนสารคดีประเภทบทความได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
8.    สามารถนำความรู้ไปเขียนสารคดีประเภทท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

อ้างอิง : https://www.gotoknow.org/posts/331335

ตัวอย่างสารคดีชีวประวัติ

พระราชประวัติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พระราชประวัติ
            สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมีพระนามเดิมว่า สังวาลย์ ตะละภัฏ พระราชสมภพเมื่อ  วันอาทิตย์ที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๓   ทรงเป็นบุตรคนที่ ๓ ใน พระชนกชู และ พระชนนีคำ ทรงมีพระภคินี และพระเชษฐา ๒ คนซึ่งได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่เยาว์วัย คงเหลือแต่พระอนุชาอ่อนกว่าพระองค์ ๒ ปี คือ คุณถมยา
            ต่อมาเมื่อพระองค์ถูกส่งไปศึกษาที่โรงเรียนสตรีวิทยา โดยประทับอยู่บ้าน คุณหวน หงสกุล เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๖ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงตัดสินพระทัยเข้าโรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์ และหญิงพยาบาลแห่งศิริราช  ตามคำชักชวนจากพระยาดำรงแพทยกุล  หลังจากสำเร็จการศึกษา ทรงได้รับการคัดเลือกให้ไปทรงศึกษาวิชาพยาบาลต่อที่ โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสหรัฐอเมริกา  พร้อมกับนางสาวอุบล ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา และ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์
            ขณะที่กำลังทรงศึกษาวิชาแพทย์ปีที่ ๑  สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนสงขลานครินทร์ ทรงพบและพอพระทัยกับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี  ด้วยมีพระสิริโฉมงดงาม  พระอุปนิสัย  และพระคุณสมบัติอื่นๆ ดังนั้นสมเด็จเจ้าฟ้าฯ  กรมขุนสงขลานครินทร์จึงทรงมีลายพระหัตถ์กราบบังคมทูลสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า พระราชมารดาขอพระราชทานพระราชานุญาตหมั้นกับ นางสาวสังวาลย์  และเมื่อถึงวันศุกร์ที่ ๑๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๓ ได้มีพิธีอภิเษกสมรสที่วังสระปทุม และหลังจากได้อภิเษกสมรสแล้ว  ทั้ง ๒ พระองค์ได้ตามเสด็จด้วยกันไปประพาสเมืองต่างๆ ในทวีปยุโรป และ สหรัฐอเมริกา เพื่อทรงไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และสถาบันเอ็มไอที เมืองบอสตัน  ส่วนสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงเรียนหลักสูตรเตรียมพยาบาลที่วิทยาลัยซิมมอนส์ เมืองบอสตัน
            หลังจากทั้ง ๒ พระองค์ทรงจบการศึกษาแล้ว จึงทรงเสด็จไปที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งสมเด็จพระบรมราชชนนี ได้ประสูติพระราชธิดาพระองค์แรก เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามว่า หม่อมเจ้ากัลยาณิวัฒนา มหิดล  ซึ่งภายหลังทรงได้รับการสถาปนาพระอิสริยศักดิ์เป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
            ในเดือน ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๖  ทั้ง ๒ พระองค์ได้เสด็จกลับเมืองไทยพร้อมด้วยพระราชธิดา  เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้สมเด็จพระบรมราชชนกทรงดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย  ประทับอยู่ได้ประมาณ ๒๐ เดือน  ก็ทรงประชวร แพทย์จึงถวายคำแนะนำให้ประทับในที่อากาศเย็น ที่เมือง ไฮเดลเบอร์ก ประเทศเยอรมนี สมเด็จพระบรมราชชนนี และพระราชธิดาจึงได้ตามเสด็จไปประทับด้วย   
            สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ประสูติพระราชโอรสพระองค์แรก เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระนามว่า หม่อมเจ้าอานันทมหิดล 
            ในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ทั้ง ๒ สมเด็จพระบรมราชชนกจึงทรงต้องเสด็จกลับกรุงเทพฯ เพียงพระองค์เดียว  เพื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพ และประทับอยู่จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๖๙
            พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ พระศรีนครินทราบรมราชชนนี  ได้ประสูติพระราชโอรสองค์ที่สองที่  โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์  สหรัฐอเมริกา ได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า  พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช
                ขณะที่สมเด็จพระบรมราชชนกทรงศึกษาวิชาแพทย์ปีสุดท้ายอยู่ที่เมืองบอสตัน ทรงประชวรโรคพระวักกะกำเริบ และพระโรคหวัด  แต่ก็ยังทรงสามารถสอบได้ปริญญาแพทยศาสตร์ขั้นเกียรตินิยม แต่หลังจากสอบเสร็จ และประชวรพระโรคไส้ติ่งอักเสบ   ทั้งสองพระองค์ได้พาพระราชโอรสธิดาเดินทางกลับประเทศไทย  โดยประทับที่พระตำหนักใหม่สร้างขึ้นในวังสระปทุม ถนนพญาไท 
            เมื่อเดือน เมษายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกทรงรับเชิญเป็นแพทย์ประจำบ้าน จากโรงพยาบาลแมคคอร์มิก จังหวัดเชียงใหม่ และในเดือนต่อมาก็ทรงเสด็จกลับกรุงเทพมหานคร หลังจากนั้นก็ทรงพระประชวรอยู่ เป็นระยะเวลาประมาณ ๔ เดือนก็สิ้นพระชนม์ เมื่อ วันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ ที่พระตำหนักใหม่ วังสระปทุม  ในขณะที่สมเด็จพระบรมราชชนกสิ้นพระชนม์  สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงมีพระชนมายุเพียง ๒๙ พรรษา ทรงต้องรับหน้าที่อบรมเลี้ยงดูพระราชโอรสธิดาทั้งสามพระองค์ตามลำพัง
               เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๑  คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ประกาศสถาปนา  พระอิสริยยศสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเป็น สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์    นอกจากนั้นพระองค์ยังพระราชทานเงินส่วนพระองค์สร้างโรงพยาบาลอานันทมหิดล  จังหวัดลพบุรี  สร้างสุขศาลา  จังหวัดสมุทรสาคร  เมื่อวันที่  ๒๔  มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๑    

พระราชกรณียกิจ  
            พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี  ที่ทรงมีต่อชาวไทยและประเทศชาตินั้นใหญ่หลวงมาก เพราะตั้งแต่ทรงเษกสมรสกับสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ ทรงมีพระอุตสาหวิริยะสูงในการทรงงาน เพื่อประโยชน์สุขของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่เหนือสุด จรด ใต้สุด

การแพทย์ พยาบาล การสาธารณสุข และการศึกษา  
สมเด็จย่าทรงจัดตั้งหน่วยและมูลนิธิที่สำคัญขึ้น  ดังนี้
 - หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี(พอ.สว.)   เป็นหน่วยแพทย์อาสาเคลื่อนที่ที่เดินไปในถิ่นทุรกันดาร ประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และสมาชิกสมทบอีกคณะหนึ่ง ซึ่งไม่ได้รับสิ่งตอบแทน และ เบี้ยเลี้ยง เงินเดือน 
- มูลนิธิขาเทียม   จัดตั้งเมื่อ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕
 - มูลนิธิถันยรักษ์   ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เพื่อใช้เป็นสถานที่ตรวจวินิจฉัยเต้านม 
- ทรงบริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียนกว่า ๑๘๕ โรงเรียน  และทรงรับเอาโครงการของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนไว้ในพระราชูปถัมภ์

การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
                สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็นพระราชวงศ์ที่โปรดธรรมชาติมาก ทรงสร้างพระตำหนักดอยตุง ขึ้นบริเวณดอยตุง เนื้อที่ ๒๙ ไร่ ๓ งาน ที่บ้านอีก้อป่ากล้วย อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เอง ในพื้นที่เช่าของกรมป่าไม้เป็นเวลานาน ๓๐ ปี มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ ๑๐๐๐ เมตร โดยทรงเรียกพระตำหนักนี้ว่า บ้านที่ดอยตุง ทรงพัฒนาดอยตุง และส่งเสริมงานให้ชาวเขาอีกด้วย ดังนี้
                 -  โครงการพัฒนาดอยตุง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑
                 -  ทรงพระราชทานกล้าไม้แก่ผู้ตามเสด็จ และทรงปลูกป่าด้วยพระองค์เอง
                 -  ทรงนำเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกา และไม้ดอกมาปลูก
                 -  โครงการขยายพันธุ์โดยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อหน่อไม้ฝรั่ง  กล้วย  กล้วยไม้   
เห็ดหลินจือ  สตรอเบอร์รี่ 
                -  จัดตั้งศูนย์บำบัด และฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ที่บ้านผาหมี ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 
                 จากพระราชอุตสาหะดังกล่าว และโครงการที่ยังมิได้นำเสนอขึ้นมาข้างต้นนี้ ยอดดอยที่เคยหัวโล้นด้วยการถางป่า ทำไร่เลื่อนลอยปลูกฝิ่น จึงได้กลับกลายมาเป็นดอยที่เต็มไปด้วยป่าไม้ตามเดิม ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงได้รับขนานนามว่า สมเด็จย่าแม่ฟ้าหลวง จากชาวไทย ของชาวไทย 

                 ในวันอังคารที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงได้เสด็จสวรรคต แต่พระเกียรติคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรงปรารถนาให้ชาวไทยมีความสุข ยังคงสถิตถาวรอยู่ในความทรงจำของพสกนิกรทั่วไทยตลอดกาล และในวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบ ๑๐๐ ปี องค์การวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ได้เฉลิมพระเกียรติยกย่องให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเป็น บุคคลสำคัญของโลก

อ้างอิง :http://personinhistory.exteen.com/page-7

ตัวอย่างสารคดีท่องเที่ยว

คลายเหงารัญจวน ที่เกาะเต่านางยวน

ดำน้ำชมโลกใต้ทะเลเกาะเต่า
            นึกขำตัวเองทุกทีเมื่อหวนรำลึกถึงการเดินทางไปยังเกาะเต่าในครั้งแรก  ตอนนั้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2545  ผมได้วางแผนการเดินทางไปท่องเที่ยวดำน้ำที่เกาะเต่า โดยเป็นการเดินทางไปเพียงคนเดียวแบบไม่ปรึกษาใคร (คิดว่าตัวเองแน่) หาข้อมูลก็เพียงเล็กน้อย รู้แต่เพียงว่า เกาะเต่า เป็นตำบลหนึ่งของอำเภอเกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี  เลยด่วนตัดสินใจไปว่า การเดินทางไปยังเกาะเต่า ก็ต้องเริ่มต้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีและเมื่อไปถึงสุราษฎร์แล้ว  จึงค่อยซื้อตั๋วเรือนอนที่ท่าเรือบ้านดอน หน้าเมืองสุราษฎร์เพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะเต่า  สาเหตุที่เรียกว่าเรือนอนนั้น ก็เพราะว่าบนเรือมีที่นอนเล็กๆ เตรียมไว้ให้  โดยเรือจะออกจากท่าในเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ถึงเกาะเต่าในช่วงรุ่งสางของวันใหม่พอดี  เรือนอนนั้นมีขนาดใหญ่พอสมควร  มีลักษณะคล้ายเรือตังเกหาปลา  ด้านหัวเชิดตรงกลางลำโค้ง   สอบถามคนเรือได้ความว่ามักจะมีชาวต่างชาติที่นิยมการเดินทางแบบประหยัดร่วมเดินทางปะปนไปกับเรือชนิดนี้เสมอ  เนื่องจากราคาค่าเดินทางที่ไม่สูงนักสำหรับผมแล้ว คืนนั้นพอขึ้นเรือได้ก็เอนตัวลงนอนเลย เพราะนั่งต่อไปก็มองไม่เห็นอะไร ทะเลมีเพียงน้ำกับฟ้าและสายลมคาวเค็มเย็นยะเยือก  ในยามดึกเช่นนี้รอบตัวมีแต่สีดำ สู้เก็บแรงไว้เพื่อวันรุ่งขึ้นจะดีกว่าและนั่นคือประสบการณ์การเดินทางไปยังเกาะเต่าครั้งแรกของผม  ที่ใช้ระยะเวลาการเดินทางจากฝั่งค่อนข้างมาก หลังจากทริปนั้นกลับมาจึงถึงบางอ้อว่า เวลาจะไปเกาะเต่า หากเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ก็ควรจะใช้บริการเรือเร็วจากจังหวัดชุมพรจะรวดเร็วกว่า  โดยหลายปีมานี้ที่จังหวัดชุมพรมีบริการเรือเร็วลมพระยา ซึ่งเป็นเรือเร็วขนาดใหญ่ติดแอร์เย็นฉ่ำ โครงสร้างท้องเรือแบบสองท้องวิ่งตัดคลื่นได้ดี เรือชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า เรือคาตามารานแต่เมื่อนำมาเปิดให้บริการจากจังหวัดชุมพรสู่เกาะเต่า โดยบริษัทเรือเร็วลมพระยาจำกัด จึงเรียกติดปากกันว่า เรือเร็วลมพระยา” เรือเร็วลมพระยาบริการรับส่งผู้คนและนักท่องเที่ยว ที่มีความประสงค์จะเดินทางไปยังเกาะเต่า เกาะนางยวน เกาะพะงัน และเกาะสมุย โดยการเดินทางเริ่มจากท่าเรือทุ่งมะขามน้อย จังหวัดชุมพร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหาดทรายรีมากนัก  ใช้เวลาเดินทางถึงเกาะเต่าเพียง 1 ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้น ค่าบริการท่านละ 550 บาทต่อเที่ยว (ราคานี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงเทศกาล) นับว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วมาก ทริปนี้ผมจึงเดินทางสู่เกาะเต่าด้วยเวลาอันรวดเร็ว หลังจากเก็บสัมภาระเข้าที่พักในห้องพักสุดหรูของเกาะเต่าวิวพอยท์ รีสอร์ท ที่ตั้งอยู่บริเวณหาดโฉลกบ้านเก่า  ซึ่งเป็นหาดที่สวยงามของเกาะเต่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การท่องเที่ยวผจญภัยของวันนี้จึงได้เริ่มต้นขึ้น เกาะเต่า ในปัจจุบันนี้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ดำน้ำชมปะการังที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง โดยติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก (ไม่ธรรมดาเลยแฮะ) ซึ่งมีชาวต่างชาตินิยมเดินทางมาดำน้ำกันมากขึ้นทุกปี  ผมมาเห็นเกาะเต่าในวันนี้ก็ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ดูแล้วเศรษฐกิจบนเกาะนี้คงจะสะพัดน่าดู ที่ดินบนเกาะมีราคาแพง มีร้านค้าและที่พักให้บริการอยู่มากมาย ท่าเรือมีความเป็นระบบมากขึ้น การเดินทางบนเกาะก็สะดวกสบายมากขึ้นเช่นกัน บนเกาะเต่า ซึ่งมีสภาพภูมิประเทศเป็นเนินเขาสูงต่ำนี้ประกอบไปด้วยหมู่บ้าน 3 หมู่บ้าน อันได้แก่ บ้านหาดทรายรี  บ้านแม่หาด  และบ้านโฉลกบ้านเก่า  หากจะพิจารณาถึงสภาพภูมิประเทศโดยรวมของเกาะเต่านั้น จะพบว่ามีรูปร่างคล้ายเมล็ดถั่ว หรือบางคนก็มองว่า มีรูปร่างคล้ายเต่า โดยส่วนหางนั้นคือบริเวณที่เป็นเกาะนางยวน นั่นเอง
            ผมย้อนกลับมาที่ท่าเรือเกาะเต่า เพื่อจะเดินทางไปดำน้ำชมปะการังในอ่าวต่างๆ รอบเกาะ เกาะเต่านั้นมีอ่าวที่มีปะการังสวยงามรวมทั้งสิ้นอยู่ประมาณ 11 อ่าว  แต่อ่าวที่ว่ากันว่ามีปะการังสวยงามมากที่สุด และเป็นอ่าวที่นักท่องเที่ยวนิยมไปดำน้ำกันมากนั้นคือ อ่าวม่วง อ่าวลึก และ กองหินวง ซึ่งแต่ละอ่าวนั้นก็มีความงดงามแตกต่างกันออกไป และเหมาะกับการดำแบบผิวน้ำ (Snorkeling) ส่วนถ้าใครต้องการดำน้ำแบบการดำน้ำลึก (Scuba divng)  บนเกาะเต่าก็มีบริการอยู่มากมายหลายผู้ประกอบการ  สนนราคานั้นแตกต่างกันออกไปตามระยะทางและเวลาที่ใช้ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์การดำน้ำลึกมาก่อน ที่เกาะเต่าก็มีบริการหลักสูตรเบื้องต้น บางแห่งโฆษณารายละเอียดไว้ว่าใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงก็สามารถดำน้ำลึกได้ โดยราคาเริ่มต้นที่ 2,000 บาท ขึ้นไปเกาะเต่า ถึงแม้จะเป็นเกาะที่อยู่กลางทะเลอ่าวไทย แต่ก็สามารถเดินทางไปเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องพายุหรือภัยทางธรรมชาติมากนัก  ด้วยเหตุนี้ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมเดินทางมาท่องเที่ยวดำน้ำกันเป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี ทั้งยังเป็นทางผ่านของการเดินทางไปสู่เกาะพะงันได้อย่างสะดวกอีกด้วย วันนี้ผมไปดำน้ำชมปะการังในอ่าวสวยๆ หลายอ่าว จนมาถึงโปรแกรมสุดท้าย คือการขึ้นไปชมทิวทัศน์บนเกาะนางยวน ที่ตั้งอยู่เคียงคู่กับเกาะเต่าในทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ  เกาะนางยวนเป็นเกาะที่เอกชนได้รับการสัมปทานไปประกอบการธุรกิจ แต่นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถขึ้นไปชมความสวยงามของธรรมชาติบนเกาะได้ โดยจะต้องเสียค่าบริการคนละ 30 บาท  เกาะนางยวนมีลักษณะเป็นเกาะเล็กๆ สองเกาะอยู่ใกล้กันโดยมีสันทรายเป็นตัวเชื่อมเกาะทั้งสองให้เดินถึงกันได้  บริเวณกึ่งกลางของสันทรายมีที่ตั้งของสำนักงาน และร้านอาหาร บนเกาะมีชาวต่างชาตินิยมมาพักผ่อนกันมาก โดยมีบริการที่พัก และจุดชมวิวที่โดดเด่น  หากเดินขึ้นไปบนจุดชมวิว ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20 นาที แล้วมองลงมาจะเห็นสันทรายเชื่อมต่อระหว่างเกาะ ดูคล้ายทะเลแหวกที่จังหวัดกระบี่
บริเวณสันทรายชาวต่างชาตินิยมมานอนอาบแดดเพื่อปรับสีผิว บ้างก็ลงดำน้ำตื้นสลับกับความร้อนในยามบ่าย สำหรับผมแล้วขอนั่งพักอยู่ใต้ร่มเงาไม้ เพื่อชมทัศนียภาพสวยงามไปพลางๆ บนเกาะนางยวนนี้มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวชมกันอย่างไม่ขาดสาย และทางผู้ดูแลมีมาตรการการควบคุมเรื่องขยะซึ่งทำได้ดี จึงทำให้เกาะนางยวนสวยงามอยู่ตลอดเวลา ผมกลับถึงที่พักในช่วงเวลาเย็น ได้นอนแช่น้ำในสระว่ายน้ำเล็กๆ หน้าห้องพักบนยอดเขาของเกาะเต่าวิวพ้อยท์ รีสอร์ท ทำให้รู้สึกสบาย ผมนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในสระน้ำอย่างนั้นเป็นเวลานาน เพื่อรอชมช่วงเวลาที่แสงสุดท้ายจะหายไปที่ขอบทะเล มันเป็นช่วงเวลาที่ประทับใจ ความสวยงามของท้องทะเลที่ขณะนี้เป็นสีทองระยิบ มีเรือหาปลาลำเล็กวิ่งตัดคลื่นออกไปโดยที่ผมไม่รู้จุดหมาย ทะเลคือความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว แต่ทว่ายิ่งใหญ่ไพศาล ช่วงเวลานี้ผมมีความสุข ปัญหาบางเรื่องที่ตามติดตัวมา กลับถูกลืมทิ้งไปอย่างไม่น่าเสียดาย  ผมเริ่มคิดได้แล้วว่า บางครั้งการเดินทางและที่พักที่ว่าราคาสูงนั้น  ก็ทำให้เรารู้สึกคุ้มค่าเมื่อแลกกับการช่วยปลอบประโลมให้เราได้รู้สึกดีขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เรา ลังเลใจ

อ้างอิง : http://travelpicpost.org/%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%88%E0%B8%A7%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B9%80/

ตัวอย่างสารคดีแนะนำ

มะพร้าวสมุย
           เมื่อหลายสิบปีก่อนเกาะสมุยไม่มีนักท่องเที่ยวเหมือนทุกวันนี้ มีแต่ชาวบ้านอาศัยอยู่และส่วนใหญ่มีอาชีพทำสวนมะพร้าว ทำให้เกาะใหญ่กลางทะเลเต็มไปด้วยทิวมะพร้าว หาดทรายขาวกว้างใหญ่ น้ำสวยใส ป่าเขาลำเนาไพรอุดมสมบูรณ์ มีน้ำตกน้อยใหญ่และธรรมชาติอันบริสุทธิ์ จึงไม่น่าแปลกใจที่เมื่อมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องราวของเกาะสมุยออกไปในฐานะแหล่งท่องเที่ยว จะทำให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศต่างพากันเข้ามาท่องเที่ยว เพื่อหวังสัมผัสกับเกาะงามที่เป็นเสมือนสรวงสวรรค์ทางทะเลแห่งนี้ .การท่องเที่ยวบนเกาะสมุยในยุคแรก ๆ ถนนหนทาง การสัญจรไปมาบนเกาะยังไม่สะดวก แหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่ ก็ดูเหมือนจะเพียงพอสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ที่ตั้งใจหลีกหนีจากความเจริญมาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หาดทราย ชายทะเล สายลม และแสงแดด ทว่านานเข้าชื่อเสียงที่เลื่องลือของเกาะสมุย ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามายังเกาะสมุย จนกระทั่งเพียงไม่กี่ปีเกาะสมุยเติบโตอย่างรวดเร็วเกินคาดหมาย กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวขนาดใหญ่ และพอนานเข้าหลายปีก็เริ่มทำให้สมุยมีปัญหา ทั้งปัญหาขยะ ปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อม เรื่อยไปจนถึงปัญหาสังคม รวมถึงปัญหาต้นมะพร้าวที่เป็นเอกลักษณ์ของเกาะสมุยมาตั้งแต่สมัยโบราณ กำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต ทั้งที่เป็นสิ่งที่อยู่คู่เกาะสมุยมาตั้งแต่ยุคที่การท่องเที่ยวยังไม่เกิด และมะพร้าวยังเป็นสิ่งที่ทำรายได้เลี้ยงคนบนเกาะสมุยมาเป็นเวลายาวนานแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ปัจจุบันบนเกาะสมุย มีการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ทั้งบ้านเรือน โรงแรม รีสอร์ท ร้านค้า จึงมีการไถเกรดปรับพื้นที่ มีการตัดต้นมะพร้าวกันหลายสิบไร่ ประกอบกับการที่ราคามะพร้าวตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ชาวสวนมะพร้าวไม่น้อยจึงพากันโค่นต้นมะพร้าว และหันไปทำสวนทุเรียน มังคุด ลองกอง ส่งออกต่างประเทศแทน ที่ร้ายไปกว่านั้น คือมีแมลงศัตรูพืชระบาด ไม่ว่าจะเป็นด้วง หรือแมงดำหนาม อีกทั้งราคาที่ดินเกาะสมุยที่สูงลิ่ว เกษตรกรจึงขายสวนมะพร้าวให้กลุ่มทุนท่องเที่ยวนำไปทำธุรกิจอื่นแทน ทั้งที่มะพร้าวแต่ละต้นกว่าจะเติบโตให้ผลผลิตได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๕ ปี ช่วงแรกก็ยังไม่ค่อยมีใครคิดถึง แต่เมื่อพื้นที่สวนมะพร้าวในสมุยลดจำนวนลงอย่างมาก ชาวสมุยก็เริ่มตระหนักและเริ่มกังวลว่า เอกลักษณ์ของเกาะสมุยกำลังจะเลือนหายไปทุกวัน รวมถึงหน่วยงานต่าง ๆ .ในพื้นที่ก็เริ่มเล็งเห็นปัญหานี้ และมีความพยายามที่จะรักษาต้นมะพร้าว ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะสมุยไว้ ด้วยการรณรงค์ปลูกมะพร้าวเพื่อคืนมะพร้าวให้สมุยอย่างต่อเนื่องในช่วงวันสำคัญและเทศกาลต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่พยายามผลิตน้ำมันมะพร้าวหีบร้อนบ้าง หีบเย็นบ้าง เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่ทำจากมะพร้าว ท่านผู้ฟัง (คะ/ครับ) การที่มีโครงการเพื่อร่วมกันดูแลเกาะสมุยให้คงเอกลักษณ์ของเกาะมะพร้าว และฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่ดีของเกาะสมุยให้คงอยู่ได้อย่างยั่งยืนเช่นนี้ เชื่อว่ามะพร้าวจะไม่หายไปจากเกาะสมุย (ค่ะ/ครับ)

อ้างอิง : http://radio.prd.go.th/samui/main.php?filename=samuimaphaw